รวมเทคนิคการสมัครงาน ให้ได้งานชัวร์ สำหรับเด็กจบใหม่
19/11/2023
จากรั้วมหาวิทยาลัยสู่โลกการทำงานจริง
ช่วงเวลาที่น้องๆ ใส่ชุดครุยถ่ายรูปกับครอบครัว อาจเป็นหนึ่งในวันที่ภูมิใจที่สุด แต่หลังจากเสียงปรบมือและการแสดงความยินดีจบลง โลกของการทำงานจริงก็จะเริ่มต้นขึ้นค่ะ เด็กจบใหม่ทุกคนต้องเผชิญกับคำถามสำคัญว่า “จะหางานยังไงดี?” ดังนั้นการก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน อาจไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากซะทีเดียว เพราะเพื่อการหาตำแหน่งงานที่ใช่ น้องๆอาจต้องเรียนรู้เทคนิคการ “ขายตัวเอง” ให้บริษัทเห็นว่าเรามีคุณค่าพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีมซะก่อน
ในบทความนี้ พี่แอดมินจะมาแชร์เทคนิคหางานแบบครบวงจรสำหรับเด็กจบใหม่ แน่นอนว่าเริ่มตั้งแต่ การหางาน หรือ การสมัครงาน จากนั้นจะตามมาด้วย การสัมภาษณ์งาน และจบด้วย การทดลองงาน ซึ่งในบทความนี้ พี่จะแทรกเรื่องเล่าประสบการณ์ตรงบางส่วน ที่พี่เคยผ่านมากับการสมัครงานจริงๆ เพื่อให้น้องๆได้เห็นภาพมากขึ้นและสามารถนำไปปรับใช้กับการสมัครงานได้แน่นอนค่ะ
เทคนิคหางานแบบครบวงจรสำหรับเด็กจบใหม่
การหางาน เป็นจุดเริ่มต้นของถนนชีวิตสายใหม่ ที่น้องๆจะต้องตัดสินใจและเลือกด้วยตนเอง ซึ่งการที่น้องๆจะหางานได้ยากหรือง่ายนั้น ล้วนแล้วแต่มีหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการมี "คู่แข่ง" ซึ่งก็คือเพื่อนๆเด็กจบใหม่รุ่นเดียวกับเรา หรืออาจจะเป็นรุ่นพี่ที่เปลี่ยนสายงานแล้วดันมาสนใจตำแหน่งเดียวกับเราก็ได้ ดังนั้นเพื่อให้เด็กจบใหม่อย่างเรามีโอกาสได้งานก่อนใครเพื่อน เราจะต้องเป็นที่น่าสนใจ หรือพูดง่ายๆ เราต้องขายของ(พรีเซ้นต์ตัวเอง)ให้เป็น! เริ่มจาก
1. Resume กุญแจดอกแรกในการเปิดประตูสู่บริษัท
Resume คือด่านแรกที่จะทำให้บริษัทรู้จักเรา และมันอาจเป็นตัวตัดสินว่าน้องๆ จะได้ไปต่อในรอบสัมภาษณ์หรือไม่
เคล็ดลับการทำ Resume ให้น่าสนใจ
- เขียนด้วยสูตร: กริยา + สิ่งที่ทำ + ตัวเลขผลลัพธ์
- แทนที่จะเขียน "เก่งภาษาอังกฤษ" ให้เขียนเป็น "ได้คะแนน TOEIC 750 และเป็นล่ามอาสาสมัครให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 50+ คน"
- แทนที่ "ใช้ Excel ได้" ให้เป็น "สร้างระบบติดตามยอดขายด้วย Excel ช่วยลดเวลาการทำรายงานจาก 4 ชั่วโมงเหลือ 30 นาที"
- แปลงกิจกรรมธรรมดาให้เป็นทักษะที่บริษัทต้องการ
- จาก "เป็นหัวหน้าชมรม" เป็น "บริหารทีม 20 คน จัดกิจกรรม 5 โครงการต่อปี ด้วยงบประมาณรวม 100,000 บาท"
- จาก "ทำงานพาร์ทไทม์ร้านกาแฟ" เป็น "บริการลูกค้า 150+ คน/วัน รักษาระดับความพึงพอใจ 4.8/5 และเพิ่มยอดขาย upselling 25%"
- ใช้ตัวเลขให้ดูเป็นมืออาชีพ
- HR ใช้เวลาดู Resume เพียงแค่ 6-10 วินาที ตัวเลขจะดึงดูดสายตาและแสดงผลงานที่จับต้องได้ทันที
- จำไว้
- อย่าแค่บอกว่าทำอะไร แต่บอกด้วยว่าผลลัพธ์เป็นยังไง และมีผลกระทบอย่างไร
- อย่าแค่บอกว่าทำอะไร แต่บอกด้วยว่าผลลัพธ์เป็นยังไง และมีผลกระทบอย่างไร
แชร์ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการเขียน Resume
ตอนที่พี่สมัครงานครั้งแรก Resume ของพี่ธรรมดามาก มีแต่ข้อมูลพื้นฐานกับวิชาที่เรียนมา สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกเรียกสัมภาษณ์ แต่พอพี่ลองแก้ Resume โดยใส่รายละเอียดกิจกรรมที่เคยทำตอนอยู่ชมรม เช่น “จัดกิจกรรมรับน้องใหม่ให้ผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน ด้วยงบประมาณ 50,000 บาท ลดต้นทุนได้ 15% จากปีก่อน” บริษัทก็เริ่มสนใจทันที
ทำไม? การเขียนแบบนี้แล้วบริษัทสนใจมากขึ้น! นั่นเพราะ ในประโยคนี้ได้มีแสดงทักษะการบริหารงบประมาณ (สิ่งที่บริษัทต้องการ) มีตัวเลขที่เป็นรูปธรรมที่ดึงดูดสายตาและแสดงความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ทำให้ดูเหมือนเด็กจบใหม่ที่พร้อมทำงานจริงๆ มากกว่าแค่เด็กที่จัดกิจกรรมเล่นๆ นั่นเองค่ะ
2. รูปถ่าย เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก
ในอดีตอาจต้องใช้รูปหน้าตรง พื้นหลังสีฟ้า ขนาด 2 นิ้ว แต่ทุกวันนี้ โดยเฉพาะการสมัครงานออนไลน์ รูปถ่ายที่ใช้สามารถแสดงความมั่นใจและความเป็นมืออาชีพได้มากกว่า
วิธีเลือกรูปถ่ายที่เหมาะสม
- ถ่ายครึ่งตัว มุมมองเล็กน้อย แทนที่จะหน้าตรงแข็งทื่อ ให้หันหน้าเอียงเล็กน้อย (15-30 องศา) ดูมั่นใจแต่เป็นธรรมชาติ
- ยิ้มแบบ "รู้งาน" ไม่ใช่ยิ้มฟันขาว แต่เป็นรอยยิ้มที่บอกว่า "ผมพร้อมทำงาน" แสดงความมั่นใจและเป็นมิตร
- แต่งกายตรงกับสายงาน
- งานออฟฟิศ : เชิ้ตสีพื้น กางเกงสแล็ค
- งานครีเอทิฟ : เสื้อยืดดีๆ หรือเสื้อเชิ้ตแขนม้วน
- งานเทคนิค : สมาร์ทแคชชวล
- พื้นหลังเรียบง่าย สีขาว เทา หรือพื้นออฟฟิศเบลอๆ
ทำไมรูปถ่ายสำคัญ
- HR ดูรูปก่อนอ่าน Resume เพื่อประเมิน "ความเหมาะสมทางวัฒนธรรม" ว่าคนนี้จะเข้ากับทีมได้ไหม รูปที่ดูมั่นใจแต่เป็นมิตร จะช่วยสร้างความประทับใจแรกได้ดีค่ะ
- เคล็ดลับเพิ่มเติม ใช้รูปเดียวกันใน Email, และ Resume เพื่อสร้าง "ความเป็นตัวตน" ที่สอดคล้องกัน
3. ทัศนคติในการเลือกงาน ปรับนิด ชีวิตเปลี่ยน
หลายคนตั้งเป้าว่า "ต้องได้งานเงินเดือนสูง" หรือ "ต้องทำงานตรงสายที่เรียนมา" ซึ่งไม่ผิดเลย แต่ทัศนคติแบบนี้อาจทำให้โอกาสดีๆ หลุดลอยไป
เปลี่ยนความคิดให้เป็นนักลงทุนระยะยาว
- งานแรกคือ "เงินลงทุน" ไม่ใช่ "เงินกำไร"
- มองเงินเดือนเป็น "ค่าเทอม" ที่จ่ายให้บริษัทสอนเรา
- ทักษะและเครือข่ายที่ได้จะกลายเป็นดอกเบ้ียทบต้นในปีต่อไป
- ใช้สูตร 70-20-10 ในการประเมินงาน
- 70% มองโอกาสเรียนรู้และเจ้านายที่สอนได้
- 20% มองสภาพแวดล้อมและทีมงาน
- 10% มองเงินเดือน (ถ้าพออยู่ได้)
- หา "แฟ้มผลงาน" มากกว่า "ใบรับรองเงินเดือน"
- โปรเจกต์ที่ทำสำเร็จ = Resume ข้อต่อไป
- ประสบการณ์จริง = เงินเดือนรอบต่อไป
กลยุทธ์การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
- ถามตัวเอง "ใน 2 ปี คนที่ทำงานนี้จะมีทักษะอะไรที่ตลาดต้องการ?"
- หาบริษัทที่มี "culture การเรียนรู้" มากกว่าบริษัทที่จ่ายเงินเยอะแต่ไม่มีการพัฒนา
4. การค้นหางาน ใช้ทุกช่องทางให้เต็มที่
ยุคนี้การหางานไม่จำกัดอยู่แค่การเดินยื่นใบสมัคร แต่ช่องทางออนไลน์มีให้เลือกมากมาย
แหล่งหางานที่เด็กจบใหม่ควรรู้
- เว็บไซต์หางาน เช่น internth.com ที่รวมงานสำหรับนักศึกษาฝึกงานและเด็กจบใหม่ มากที่สุดในไทยในขณะนี้
- เพจ Facebook ของเว็บ หางาน เช่น เพจของ อินเทิร์นทีเอช ดอทคอม (internth) ที่มีการอัปเดตตำแหน่งใหม่ทุกวัน
- กลุ่มหางานใน Facebook ได้งานไวเพราะเป็นการแชร์ตรงจากคนทำงาน
- เว็บไซต์บริษัทโดยตรง บางบริษัทเปิดรับสมัครเฉพาะในเว็บไซต์ของตัวเอง
5. การเตรียมตัวสัมภาษณ์ โอกาสที่สองที่ต้องคว้าให้ได้
เมื่อ Resume ผ่าน รูปถ่ายใช่ ต่อไปคือการสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นโอกาสให้น้อง ๆ แสดงให้บริษัทเห็นว่าเราพร้อมแค่ไหน
เคล็ดลับเตรียมตัวสัมภาษณ์
- ศึกษาข้อมูลบริษัทให้ดี เช่น ประวัติ ความเป็นมาขององค์กร ผลงานล่าสุด
- แต่งกายให้เหมาะกับงาน เช่น สมัครงานสายครีเอทีฟอาจใส่เสื้อเชิ้ตเรียบ ๆ คู่กับกางเกงสแลคได้ ไม่จำเป็นต้องใส่สูทเต็มชุด
- ใช้ STAR Method ตอบทุกคำถาม
- Situation : สถานการณ์ที่เจอ
- Task : หน้าที่ที่ต้องทำ
- Action : การกระทำที่เลือก
- Result : ผลลัพธ์ที่ได้
ตัวอย่างคำถาม "ช่วยเล่าเรื่องที่คุณแก้ปัญหาได้"
(ที่ไม่ไม่ได้ผล ❌) "ผมเป็นคนชอบแก้ปัญหาครับ"
(ที่ได้ผล+น่าสนใจ ✅) "ตอนจัดกิจกรรมชมรม (S) ผมต้องหาวิธีลดงบ 30% (T) เลยเปลี่ยนจากจ้างของแถมเป็นขอสปอนเซอร์ (A) ผลคือประหยัดได้ 15,000 บาท และได้พาร์ทเนอร์ระยะยาว (R)"
6. ทดลองงาน ช่วงเวลาสำคัญในการพิสูจน์ตัวเอง
แม้จะได้งานแล้ว แต่การทดลองงานก็เป็นเหมือนด่านสุดท้ายที่จะพิสูจน์ว่าเราคู่ควรกับตำแหน่งนี้จริงๆ หรือไม่ ดังนั้นการทดลองงาน 90 วันแรกที่เปลี่ยนชีวิต เราจะใช้กลยุทธ์ "Prove & Improve" แทน "Wait & See"
กลยุทธ์ "Prove & Improve"
- สัปดาห์ 1-2 : โหมดฟองน้ำ
- ซับทุกอย่าง ถามทุกอย่าง จดทุกอย่าง
- เป้าหมาย : รู้จักชื่อคนทั้งออฟฟิศ และเข้าใจ workflow พื้นฐาน
- สัปดาห์ 3-8 : โหมดมดงาน
- รับงานเล็กๆ มาทำให้เปอร์เฟกต์
- เป้าหมาย : สร้าง reputation ว่า "มอบหมายอะไรได้หมด"
- สัปดาห์ 9-12 : โหมดเสนอไอเดีย
- ชี้ประเด็นที่ปรับปรุงได้ พร้อมเสนอแนวทางแก้
- เป้าหมาย : แสดงว่าไม่ได้แค่ทำงาน แต่คิดด้วย
สัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า เราจะผ่านทดลองงานไหม
- สัญญาณที่ดี : หัวหน้าเริ่มถามความเห็น, ได้รับเชิญประชุมสำคัญ, เพื่อนร่วมงานขอความช่วยเหลือ
- สัญญาณที่ไม่ดี : ได้งานแต่งานเล็กๆ ตลอด, ไม่มีใครให้ feedback, ถูกละเลย
ประสบการณ์ส่วนตัว "ช่วงทดลองงาน"
จะจบแล้ว พี่ขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว "ช่วงทดลองงาน" อีกสักข้อนะคะ ตอนพี่ทดลองงานในบริษัท แรกๆ พี่รู้สึกกดดันมาก แต่พี่พยายามเข้าหาพี่ๆทีมงาน คอยถามและจดบันทึกทุกอย่าง จนสุดท้ายหัวหน้าพี่แกก็พูดขึ้นมาว่า “แม้ยังทำงานไม่เก่ง แต่ใส่ใจและขยันอยากเรียนรู้” แกเอ็นดูเลยได้ผ่านโปรอย่างสบายใจค่ะ
จำเอาไว้! การเอาตัวรอดในช่วงทดลองงาน เราจะต้องตั้งใจเรียนรู้งาน อย่ากลัวที่จะถาม(แต่ดูจังหวะให้ดีนะคะ) แสดงทัศนคติที่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ตรงต่อเวลาและทำงานให้เต็มที่ค่ะ
สรุป การหางานไม่ใช่เรื่องยากหรือน่ากลัว
สำหรับเด็กจบใหม่ การหางานคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด อย่ากลัวความล้มเหลว เพราะทุกการสมัคร ทุกการสัมภาษณ์ และแม้แต่การถูกปฏิเสธ ก็ล้วนเป็นบทเรียนที่จะทำให้น้องๆ แข็งแรงขึ้น
ถ้าวันนี้น้องๆ กำลังมองหางานที่เปิดโอกาสให้เด็กจบใหม่ พี่แนะนำลองเริ่มต้นที่ internth.com เพราะมีการรวมงานที่ยินดีรับเด็กจบใหม่ที่เหมาะกับน้องๆ ที่เพิ่งจบ และมีประกาศที่ระบุชัดว่า “ยินดีรับผู้จบใหม่” ยังไง ลองสมัครงานบนเว้บไซต์ internth.com (อ่านว่า อินเทิร์น ทีเอช ดอทคอม) กันดูได้เลยนะคะ
บทความที่เด็กจบใหม่อย่างคุณอาจสนใจ
- การต่อรองเงินเดือนสำหรับเด็กจบใหม่
- "เด็กจบใหม่" สัมภาษณ์งานอย่างไร ไม่ให้โดนกดเงินเดือน!
- เด็กจบใหม่ต้องรู้ 10 ปัญหาที่คุณจะเจอในที่ทำงาน
